วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 13, 2550

The Selfish Gene

The Selfish Gene

ผู้แต่ง ริชาร์ด ดอว์กินส์
ตีพิมพ์ครั้งแรก ปี พ.ศ. ๒๕๓๓
ประเภท วิวัฒนาการ ปรัชญา วิเคราะห์
พิมพ์โดย สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด

แนะนำโดย ชินวิทย์ เลิศบรรณพงษ์


เป็นที่ทราบกันดีว่า หนังสือจำพวกวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย มักจะเหมาะกับผู้ใฝ่รู้ทุกเพศทุกวัย ในแง่ที่สามารถถ่ายทอดเนื้อหา ที่ชวนปวดเศียรเวียนเกล้าพร้อมๆกับชวนง่วงนอน ให้กลายเป็นเนื้อหาที่ผู้คนทั่วไปอ่านเข้าใจง่าย และน่าติดตามในเวลาเดียวกัน

ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว จุดประสงค์อันดับแรกของผู้เขียนก็ย่อมต้องการให้ผู้อ่านในวงกว้าง “รับทราบ” ถึงความก้าวหน้าของแวดวงวิทยาศาสตร์ — อย่างน้อยก็เท่าที่ผู้เขียนคิดว่าสามารถอธิบายให้คนธรรมดาเข้าใจได้

The Selfish Gene อาจเป็นหนังสืออีกเล่มที่เขียนขึ้นตามครรลองของวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย ทว่า มันไม่ได้พอใจจะจำกัดบทบาทของตัวเองไว้เพียงแค่ตำราเรียนอ่านสนุกเท่านั้น หากพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของหนังสือประเภทนี้ ด้วยการท้าทายคติความเชื่อเดิมๆ ขณะเดียวกัน ก็กระตุ้นผู้อ่านในวงกว้างเข้ามา “มีส่วนร่วม” ในการขบคิดและถกเถียงประเด็นความขัดแย้งนี้ด้วย

มีข้อควรระวังเล็กน้อยก่อนหยิบหนังสือเล่มนี้ ประการแรก ผู้อ่านควรมีความรู้พื้นฐานด้านชีววิทยาเบื้องต้นมาบ้าง โดยเฉพาะเกี่ยวกับกฏการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ประการที่สอง เนื้อหามองโลกในแง่ร้ายอาจไม่เหมาะสำหรับเยาวชนหรือผู้อ่านที่ยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอ และประการสุดท้าย นี่คือหนังสือที่ผู้อ่านควรทำความรู้จักเนื้อหาคร่าวๆของมันก่อน สำหรับพวกอนุรักษ์นิยม พวกเคร่งศีลธรรม หรือแม้แต่พวกมนุษย์นิยมบางประเภทแล้ว เนื้อหาแรงๆของ The Selfish Gene อาจทำให้น้ำลายฟูมปากได้ไม่ยากเลย

ในทางตรงกันข้าม สำหรับผู้ที่สอบผ่านคำเตือนดังกล่าวข้างต้นแล้ว The Selfish Gene คืออาหารสมองชั้นดีสำหรับนักอ่านที่เปิดใจกว้าง มันพูดถึงปริศนาของชีวิตในมุมกลับหัวกลับหางโดยมีหลักการวิทยาศาสตร์หนุนหลัง ขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถนำเสนอสาระสำคัญที่น่าทึ่งและน่ากระอักกระอ่วนด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

The Selfish Gene ยืนหยัดท้าทายความคิดความเชื่อของผู้อ่านทั่วโลกมาแล้วร่วม ๓ ทศวรรษ ได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นๆกว่า ๒๐ ภาษา ซ้ำยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่ชื่นชมและแง่เสียๆหายๆอย่างกว้างขวาง แน่นอน ไม่บ่อยนักที่จะมีหนังสือวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างทรหดขนาดนี้ และนั่นก็คงเป็นคำจำกัดความของหนังสือได้อย่างดีก่อนที่คุณจะตัดสินใจอ่านมัน


ในช่วงแรก ผู้เขียนพยายามทำความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้อ่านเกี่ยวกับภาพกว้างๆของหนังสือเล่มนี้ ดอว์กินส์อ้างว่า ศีลธรรมอันดีของมนุษย์ไม่ได้มีเหตุผลทางทฤษฎีรองรับอยู่เลย การคาดหวังให้มนุษย์ปฏิบัติต่อกันด้วยความกรุณาและปราศจากความเห็นแก่ตัวนั้นขัดกับธรรมชาติของเราเอง เขาไม่ได้กล่าวโทษมนุษย์หรือยีนว่าเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้าย แต่ “ความเห็นแก่ตัว” เป็นเรื่องปรกติธรรมดาสำหรับกฏการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

ยิ่งไปกว่านั้น หน่วยมูลฐานที่ผ่านการคัดเลือกโดยธรรมชาตินั้นไม่ใช่การคัดเลือกกลุ่ม หรือ การคัดเลือกเผ่าพันธุ์ อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจกัน การยึดถือเอาว่าสิ่งมีชีวิตเป็นผลผลิตของกระบวนการวิวัฒนาการ จึงอาจเป็นการทึกทักเอาเองจากวิธีมองโลกโดยยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ดอว์กินส์เสนอว่า หน่วยมูลฐานที่ผ่านการคัดเลือกโดยธรรมชาติคือ ยีน นั่นหมายความว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่ว่าปรสิต ต้นไม้ สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือแม้แต่มนุษย์ อาจเป็นเพียงเกราะหุ้มหรือเครื่องกลสำหรับการดำรงชีวิตของยีนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

ดอว์กินส์ยังกล่าวอ้างถึงความสำเร็จในการสร้างโมเลกุลอินทรีย์ในห้องทดลอง ซึ่งเลียนแบบสภาพแวดล้อมโลกยุคดึกดำบรรพ์ การทดลองดังกล่าวยืนยันถึง ความเป็นไปได้ที่จะเกิดโมเลกุลอินทรีย ์ในมหาสมุทรยุคดึกดำบรรพ์ จนกระทั่ง ๓.๕ พันล้านปีก่อน มันจึงเริ่มมีความสามารถจำลองตัวเองได้ และอีกหกร้อยล้านปีให้หลัง นักจำลองตัวเองเหล่านี้ก็อาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และถูกเรียกโดยมนุษย์ว่า “ยีน”

จากนั้นเขาจึงนำพาผู้อ่านไปรู้จักยีน โครโมโซม และดีเอ็นเอ ยีนหนึ่งๆ ต้องแย่งพื้นที่จำกัดบนโครโมโซมกับยีนคู่ตรงข้ามของมันเอง ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของตัวเอง ด้วยการลดโอกาสการอยู่รอดของศัตรู พฤติกรรมลักษณะนี้ผู้เขียนให้นิยามไว้ว่าเป็น ความเห็นแก่ตัวของยีน นอกจากนี้ โอกาสการอยู่รอดของตัวอ่อน – เครื่องกลเพื่อความอยู่รอด - ก็หมายถึงโอกาสการอยู่รอดของยีนเท่าๆกัน ต่อเมื่อผ่านพ้นช่วงที่ยีนจำลองตัวเองสำเร็จแล้ว เครื่องกลเพื่อความอยู่รอดจึงหมดประโยชน์ แก่ลง และตายจากไป อย่างไรก็ตาม หน่วยเล็กๆ จำนวนมากของยีนจะยังคงเพิ่มจำนวนและดำรงอยู่ในรุ่นลูก รุ่นหลาน และรุ่นต่อๆไปตลอดกาล

สิ่งมีชีวิตต่างมีวิวัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อปกป้องยีนที่อยู่ภายใน กระนั้น จิตสำนึกของเราก็ไม่ได้ถูกยีนบงการอยู่ตลอดเวลา ดอว์กินส์เปรียบเทียบประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจกับคอมพิวเตอร์ ที่ถูกโปรแกรมให้แข่งขันหมากรุกกับมนุษย์ นักเขียนโปรแกรมมีหน้าที่เพียง โปรแกรมให้คอมพิวเตอร์มีศักยภาพดีพอที่จะแข่งขันเท่านั้น แต่นักเขียนโปรแกรมไม่ได้มีส่วนร่วมใดใด กับการตัดสินใจของคอมพิวเตอร์ ระหว่างการแข่งขันเลย ยีนก็เช่นกัน มันไม่ได้มีอิทธิพลโดยตรง ต่อกระบวนการตัดสินใจของสิ่งมีชีวิตในปัจจุบัน หากแต่มีส่วนต่อการกำหนดคุณสมบัติต่างๆมาตั้งแต่ต้น ซึ่งถ้าหากคุณสมบัติดังกล่าวส่งผลเสียต่อการดำรงชีวิต ณ สภาพแวดล้อมหนึ่งๆแล้ว ทั้งเครื่องกลเพื่อความอยู่รอดและยีนของมันก็จะต้อง “ถูกคัดออก” ในที่สุด

“Good of the species” – ประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต - เป็นอีกวลีหนึ่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะอนุมานเอาเองจากทฤษฎีวิวัฒนาการ ในมุมมองของการคัดเลือกกลุ่ม หรือชนิด ในความเป็นจริง การใช้กลยุทธหรือกลอุบายต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันเท่านั้น แต่มันยังแพร่หลายในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันด้วย เนื้อหาช่วงกลางของหนังสือแสดงให้เห็นว่า สิ่งมีชีวิตหนึ่งจะพยายามใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตอีกตัวหนึ่ง – ที่ไม่ใช่ลูกหลานหรือญาติใกล้ชิด - ราวกับมันเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งเท่านั้น ดอว์กินส์ยังอ้างถึงทฤษฎีเกม ที่นำมาประยุกต์กับสาขาชีววิทยาวิวัฒนาการ เพื่ออธิบายปฏิสัมพันธ์ของพฤติกรรมสัตว์ ทั้งระหว่างชนิดเดียวกัน และระหว่างชนิดต่างกัน ทั้งนี้ การคำนวณอัตราส่วนความเสถียรทางวิวัฒนาการ จะสามารถแสดงภาพคร่าวๆว่า สิ่งมีชีวิตซึ่งมีพฤติกรรมลักษณะหนึ่ง จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร ท่ามกลางสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีพฤติกรรมอีกแบบหนึ่ง ภายใต้กฏการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

เป้าหมายสูงสุดของยีนหนึ่งๆ คือ การเพิ่มจำนวนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ใน ดังนั้น ยีนจะพยายามสำเนาตัวเองที่อาศัยอยู่ในเครื่องกลเพื่อความอยู่รอดอีกตัวหนึ่ง ความช่วยเหลือเกื้อกูลในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันอาจถูกมองว่าเป็นความกรุณา แต่อีกนัยหนึ่ง มันก็คือความเห็นแก่ตัวอีกรูปแบบของยีน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของยีนในแต่ละปัจเจก จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ในการตัดสินใจของเครื่องกล เพื่อความอยู่รอด เช่น ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่าง พ่อแม่-ลูก หรือ พี่-น้อง ที่มีค่าความเกี่ยวดองสูงถึงร้อยละห้าสิบ ย่อมมีความกรุณาต่อกัน มากกว่าความสัมพันธ์ที่เป็นญาติห่างๆ หรือสิ่งมีชีวิตเดียวกันแต่ไม่มีความเกี่ยวดองกันเลย

ดอว์กินส์มองว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันเป็นข้อยกเว้นประการหนึ่ง เนื่องจากการคุมกำเนิด และรัฐสวัสดิการ จัดเป็นกระบวนการที่ฝืนธรรมชาติ แม้จะสามารถเป็นตัวแทนของความกรุณาระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองได้ ในระดับหนึ่ง แต่มันก็เพิ่งเริ่มต้นได้เพียงอึดใจเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของเรา

เขาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของพ่อแม่-ลูก-พี่-น้อง และหว่างพฤติกรรมของเพศผู้-เพศเมีย โดยอาศัยค่าความเกี่ยวดอง และอัตราส่วนความเสถียรทางวิวัฒนาการเข้ามาช่วย ดอว์กินส์อ้างถึงกลยุทธต่างๆ ที่ลูกแต่ละตัวใช้ เพื่อดึงดูดทรัพยากรจากพ่อแม่ ให้ได้มากกว่าพี่น้องของมันเอง นอกจากนี้ พ่อและแม่ก็ย่อมมีกลยุทธ ที่จะผลักภาระการเลี้ยงดูลูกให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเช่นกัน อย่างไรก็ดี ด้วยแรงกดดันทางวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตเพศผู้จึงมักมีเซลล์สืบพันธุ์ที่มีขนาดเล็ก และคล่องตัวกว่า ดังนั้น ต้นทุนการเลี้ยงดูลูกจึงตกอยู่กับเพศเมียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่เพศผู้มีแนวโน้มที่จะละเลยการเลี้ยงดูลูก หรือแม้แต่ละทิ้งลูก เพื่อไปสืบพันธุ์กับเพศเมียตัวอื่นๆ

ในช่วงท้าย ดอว์กินส์ใช้ความคล้ายคลึงจากการจำลองตัวเองของยีน มาเทียบเคียงกับการจำลองตัวเองของแนวคิด – มีม – หมายถึง ชุดของแนวคิดที่จำลองตัวเองโดยผ่านการสื่อสารของมนุษย์ เช่น ความเชื่อทางศาสนา การเมือง วัฒนธรรมป๊อป รายการทีวี หรือแม้แต่หนังสือเล่มนี้เป็นต้น เช่นเดียวกับยีน มีมย่อมมีจุดมุ่งหมาย เพื่อจำลองตัวเองให้มีจำนวนมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ โดยกำจัดมีมที่ขัดแย้งกันออกไป โดยผ่านสื่อกลางคือ มนุษย์หกพันล้านคนทั่วโลกนั่นเอง


โดยสรุปแล้ว แม้ในปัจจุบัน นักชีววิทยาจะหันมาสนใจ เกี่ยวกับการคัดเลือกหลายลำดับกันมากขึ้น แต่นักชีววิทยาสมัยใหม่จำนวนมากก็มองว่า ทฤษฎีการคัดเลือกโดยยีน ยังคงสามารถอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ในกระบวนการวิวัฒนาการได้อย่างน่าพอใจ

กระนั้น นอกเหนือจากภาคทฤษฎีแล้ว ข้อสังเกตบางประการของดอว์กินส์ ก็ใช่ว่าจะหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ยืนยันได้ทั้งหมด ดังนั้น การอ่านหนังสือเล่มน ี้จึงออกจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษอยู่สักหน่อย แต่ถึงอย่างไร The Selfish Gene ก็ไม่ควรถูกมองข้ามด้วยประการทั้งปวง สำหรับการทำความรู้จักตัวตนของพวกเรา — มนุษย์ — ในแง่มุมที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงหรืออยากพูดถึงนัก


ริชาร์ด ดอว์กินส์ เกิดในประเทศเคนยาปี 1941 ใช้เวลาช่วงวัยเด็กในแอฟริกาตะวันออกถึงแปดปี ก่อนครอบครัวของเขาจะย้ายกลับมายังอังกฤษ ระหว่างศึกษาปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เขาได้รับแรงบันดาลใจจากนิโก ทินเบอร์เกน นักชีววิทยารางวัลโนเบลชาวเดนมาร์ก ในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์ ว่าด้วยพฤติกรรมสัตว์ หรือ บุคลิกภาพวิทยา

ดอว์กินส์ เคยเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กเลย์ ระยะสั้นๆ ก่อนย้ายกลับมาเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และในช่วงต้นของทศวรรษ 70 นี้เอง เขาได้พัฒนา และสังเคราะห์ แนวความคิดสายบุคลิกภาพวิทยา เข้ากับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน และชีววิทยาระดับโมเลกุล

หลังจากหนังสือเล่มแรก The Selfish Gene ตีพิมพ์ในปีค.ศ. 1976 ชื่อของเขาก็เริ่มเป็นที่รู้จักทั้งในวงกว้างมากขึ้น
ส่วน The Extended Phenotype หนังสือเล่มสองของดอว์กินส์ ซึ่งต่อยอดจากแนวคิดในเล่มแรกโดยเพิ่มมิติทางสังคม สิ่งประดิษฐ์ ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตสร้างสรรค์ขึ้น เขายังเคยปรารภไว้ครั้งหนึ่งว่า “ถ้าคุณจะอ่านหนังสือของผมแค่เล่มเดียวแล้วล่ะก็ อ่าน The Extended Phenotype เถอะ”

เขายังเขียนหนังสือออกมาอย่างต่อเนื่อง หลายเล่มเข้าข่ายเบสต์เซลเลอร์ อย่างไรก็ดี ในรายชื่อหนังสือวิทยาศาสตร์ดี ๑๐๐ เล่มที่สถาบันเทคโนโลยีสตีเวนส์จัดทำขึ้น ได้ยกย่องให้เล่ม The Blind Watchmaker เป็นหนึ่งในนั้น
ตัวอย่างหนังสือขายดีเล่มอื่นๆ ของดอว์กินส์ ได้แก่ The Extended Phenotype (1982), The Blind Watchmaker (1986), River Out of Eden (1995), Climbing Mount Improbable (1996) และ Unweaving the Rainbow (1998)


0 ความคิดเห็นที่:

แสดงความคิดเห็น

<< Home