วันเสาร์, ธันวาคม 26, 2552

๑๒ เล่มหนาน่าเป็นของขวัญ

ชวนมาซื้อหนังสือดี-ดีมาเป็นของขวัญ ไม่ว่าจะให้ตัวเองหรือคนอื่น หนังสือเหล่านี้เป็นหนังสือเล่มหนา ถือเป็นหนังสือที่ทำให้หลายคนล่าถอย แต่น่าชื่นใจที่เห็นการตีพิมพ์ออกมาในตลาดหนังสือไทย เพราะเป็นเครื่องช่วยบ่งชี้ว่าวัฒนธรรมการอ่านของเราน่าจะสุกงอมพอ จึงทำให้สำนักพิมพ์จัดทำหนังสือเล่มหนามาให้กับกลุ่มคนอ่านหนังสือซึ่งคงมีจำนวนอยู่พอควร


เกณฑ์ในการคัดเลือกหนังสือมี ดังนี้ (หนึ่ง) ขนาดพ็อกเก็ตบุ๊กมีจำนวนหน้ามากกว่า ๕๐๐ หน้า (สอง) ผู้แนะนำเคยอ่านแล้วหรือกำลังอ่านอยู่ (สาม) เลือกจากสำนักพิมพ์หนึ่งไม่เกินหนึ่งเล่ม เพื่อให้เกิดความหลากหลาย


ลำดับการนำเสนอแบ่งเป็นหนังสือหมวดความรู้และสารคดี ๔ เล่ม หมวดชีวประวัติ ๒ เล่ม หมวดเดินทาง ๒ เล่ม และหมวดวรรณกรรม ๔ เล่ม


หนังสือเล่มหนาคงมีอีกมาก แต่ผู้แนะนำมีโอกาสอ่านน้อย และมีอคติในบางครั้งกับบางเล่ม ที่แนะนำในขณะนี้ จึงมีเพียงเท่านี้


๑. ล่มสลาย – ไขปริศนาความล่มจมของสังคมและอารยธรรม
จาเร็ด ไดมอนด์
แปลโดย อรวรรณ คูหเจริญ นาวายุทธ
สำนักพิมพ์ โอ้มายก็อด, ๗๙๖ หน้า, ๔๘๐ บาท










Collapse – How Societies Choose to Fail or Succeed




หนังสือยอดเยี่ยมแห่งปี ๒๕๕๒ ที่ได้อ่าน ว่าด้วยการสืบค้นคำถามที่ว่าสังคมหนึ่งหรืออารยธรรมหนึ่งนั้นล่มสลายด้วยเหตุใด? ในขณะที่ทฤษฎีล่มสลายนำเสนอเหตุปัจจัยทางวัฒนธรรม จาเร็ด ไดมอนด์ – นักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์ และนักวิชาการ ผู้มีมุมมองความคิดทั้งทางกว้างทางลึก ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชาการ – เสนอว่าการล่มสลายเกิดจาก ๕ ปัจจัยหลัก โดยเฉพาะปัจจัยทางด้านการทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือ การตัดสินใจของผู้คนในสังคมนั้น เนื้อหาหนังสือเหมาะมากสำหรับบรรยากาศการประชุมเรื่องโลกร้อน และความสนใจในประเด็นสิ่งแวดล้อม ข้อมูลแน่นหนา ท่วงทำนองการเขียนสนุกสนาน และท้าทายอย่างสุภาพ หนังสือเล่มนี้ไม่น่าเบื่อเลย เพียงแต่หนักไปหน่อยสำหรับการขนไปอ่านนอกสถานที่ จำนวนหน้าและราคาที่ปรากฏ ตลอดจนการอนุญาตให้ดาวน์โหลดไฟล์หนังสือแบบไม่คิดสตางค์ ทำให้เห็นว่าสำนักพิมพ์นี้หาญกล้าและบ้าบิ่นไม่น้อยเลย


๒. พลานุภาพแห่งเทพปกรณัม
โจเซฟ แคมป์เบลล์
แปลโดย บารนี บุญทรง. เรียบเรียงโดย กิ่งแก้ว อัตถากร
สำนักพิมพ์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๕๐๕ หน้า, ๔๕๐ บาท




 







The Power of Myth




หน้าปกน่าเบื่อ แต่เป็นหนังสือประเภทผ้าขี้ริ้วห่อทองก็ว่าได้ เพราะเนื้อหาสนุกมาก ทั้งเรื่องและรสไม่ค่อยจะมีในวงการหนังสือบ้านเรา ว่าด้วยความสำคัญและตำแหน่งแห่งที่ของเทพปกรณัมในสังคมมนุษย์ เป็นบทสัมภาษณ์โจเซฟ แคมป์เบลล์ นักวิชาการด้านปกรณัม ผู้มีชื่อเสียง และมีอิทธิพลต่อการสร้างปกรณัมมนุษย์ยุคใหม่อย่างสตาร์ วอร์ส ของจอร์จ ลูคัส แคมป์เบลล์ชี้ให้เห็นว่าตำนาน หรือปกรณัมต่างๆ นั้นล้วนเป็นภาพสะท้อนภายในของปัจเจก ความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งของปกรณัมในสังคมต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงภาพลักษณ์ร่วมกันของปัจเจกที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับเพื่อนมนุษย์รอบตัว ทั้งยังสามารถส่งผ่านแนวคิดนั้นจากรุ่นสู่รุ่นได้ สังคมร่วมสมัยก็กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากปกรณัมเก่าแก่สู่ปกรณัมร่วมกันของสังคมโลก ซึ่งจำต้องมองสรรพชีวิตบนโลกให้เป็นพี่น้องกันให้ได้ บทสัมภาษณ์มีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง ผู้สัมภาษณ์คือบิล ม็อยเออร์ นักข่าวมืออาชีพ




๓.ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ – จากจักรวาลถึงเซลล์
บิล ไบรสัน
แปลโดย โตมร ศุขปรีชา, วิลาวัลย์ ฤดีศานต์
สำนักพิมพ์วงกลม, ๖๐๕ หน้า, ๓๖๐ บาท










A Short History of Nearly Everything




วิทยาศาสตร์ฉบับย่อ ตั้งแต่แนวคิดทฤษฏีกำเนิดจักรวาล โลก และชีวิต เป็นหนังสือที่ประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เพราะไม่คิดว่าจะมีสำนักพิมพ์ไหนสนใจทำหนังสือเล่าเรื่องวิทยาศาสตร์แบบย่อยง่ายมาให้คนไทยอ่าน เห็นแต่ฟิสิกส์กับจักรวาลยาก-ยาก ที่เชื่อว่ามีกลุ่มคนอ่านน้อยนิด ทำให้เข้าใจไปได้ว่าหนังสือหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของคนบางกลุ่มบางพวกเท่านั้น และอิจฉาฝรั่งอยู่หลายครั้งที่ได้อ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ดี-ดี โดยไม่จำเป็นต้องมีอาชีพนักวิทยาศาตร์แต่อย่างใด ต้นฉบับภาษาอังกฤษนั้นได้รับรางวัลทั้งในอเมริกาและยุโรปในฐานะหนังสือด้านสื่อสารวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยม รูปเล่มสวยน่าหยิบจับ ชื่อคนแปลก็การันตีได้ว่าภาษาสนุกพอ-พอกับต้นฉบับ เนื้อหาไม่ได้ว่าด้วยวิทยาศาสตร์แบบแห้ง-แห้ง หากว่าด้วยแนวคิดที่มาที่ไปของทฤษฎีต่างๆ ซึ่งมีชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ที่หายใจได้หลายคนเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกัน


๔. ควอนตัมกับดอกบัว – การเดินทางสู่พรมแดนที่วิทยาศาสตร์และพุทธศาสนามาบรรจบ
มาติเยอ ริการ์ และ ตริน ซวน ตวน
แปลโดย กุลศิริ เจริญศุภกุล, บัญชา ธนบุญสมบัติ
สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา, ๕๑๒ หน้า, ๔๒๐ บาท









The Quantum and the Lotus



บทสนทนาระหว่างนักบวชและนักวิทยาศาสตร์ เป็นหนังสือว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้ามพรมแดนระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนาเล่มแรกที่แปลและได้รับการตีพิมพ์ในเมืองไทย มีปกที่จัดได้ว่าสวยงามมากเล่มหนึ่ง เหมาะสำหรับคนที่เบื่ออ่านวิทยาศาสตร์จ๋าหรือธรรมะล้วน และต้องการมุมมองอื่นมาสำรวจตรวจสอบ เนื้อหาว่าด้วยการแลกเปลี่ยนทัศนะในประเด็นคำถามหลักที่วงการวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยกำลังให้ความสนใจ ตั้งแต่กำเนิดของเอกภพ ปรากฎการณ์ในระดับอนุภาค เรื่องของเวลา ทฤษฎีโกลาหล ทฤษฎีผุดบังเกิด ปัญญาประดิษฐ์ ไปจนถึงกระบวนทัศน์ในการมองโลก ความงาม ความจริง และการเข้าถึงความจริง - ถือได้ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนจากมุมมองของพุทธศาสนาสายทิเบตและวิทยาศาสตร์ที่มีสีสันและมีขอบเขตกว้างขวางทีเดียว


๕. บันทึกหน้าหนึ่ง - อัตชีวประวัติอดีตประธานกรรมการบริหาร เดอะ วอชิงตันโพสต์
แปลโดย อายุรี ชีวรุโณทัย
สำนักพิมพ์นานมีบุ๊กส์. ๑๑๐๔ หน้า, ๕๙๕ บาท









Personal History



หนังสือเล่มหนาที่สุดในบรรดาสิบสองเล่มที่เลือกมา เป็นอัตชีวประวัติของแคเธอรีน เกรแฮม หนึ่งในตำนานของวงการหนังสือพิมพ์อเมริกัน เพราะพ่อเธอเป็นคนซื้อกิจการหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และสามีเธอเป็นผู้บุกเบิกและบริหาร แต่หลังจากการเสียชีวิตของพ่อและสามี เธอ – ลูกคนหนู และแม่บ้านที่คอยแต่เลี้ยงลูก ดูแลบ้าน จัดปาร์ตี้ – ต้องเข้ามารักษามรดกพ่อและชื่อเสียงของสามี ด้วยการนำพานาวาวอชิงตันโพสต์ฟันฝ่าคลื่นลมธุรกิจและการเมือง เผชิญความท้าทายเรื่องเพศ/ผิว/แรงงาน ข่าวเพนตากอนเปเปอร์ที่เปิดเผยความไม่ชอบมาพากลของการตัดสินใจทำสงครามเวียดนามของรัฐบาล และข่าวคดีวอเตอร์เกตที่ทำให้ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันหลุดจากตำแหน่ง ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน เธอเขียนหนังสือเล่มนี้เมื่ออายุ ๗๙ ปี เขียนได้อย่างหมดจดตรงไปตรงมา - และไม่ต้องเกรงใจใคร


๖. ข้างหลังโปสการ์ด
หลานเสรีไทย (136)
สำนักพิมพ์อมรินทร์ , ๗๓๗ หน้า, ไม่ทราบราคา











หนังสือกึ่งนิยายกึ่งบันทึกของนักเดินทางที่เปิดหูเปิดตาให้เห็นการท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ ภาพของผู้หญิงไทยร่างเล็กแบกเป้เดินทางไปอินเดีย เนปาล ผจญกับส้วมแขก แก๊งขอทาน แลกหมัดทางความคิดกับเพื่อนคู่ใจฝรั่งตัวโต น้ำตาร่วงรายเมื่อพ่ายแพ้ให้กับหิมาลัย ก่อนจะมาท้าตีท้าต่อยกับโรงแรมหรูที่บุกรุกหาดสาธารณะและปล่อยน้ำทิ้งลงทะเลแถบทางใต้ของประเทศไทย – นั้นน่าตื่นใจ โดยเฉพาะในยุคที่เห็นนักท่องเที่ยวเป็นพระเจ้า และคนท้องถิ่นต้องเป็นลูกจ้างและขายตัว ภาษาของผู้เขียนเปิดเปลือยตัวตนอย่างแท้จริง สำนวนออกจะหวือหวาไปสักหน่อยสำหรับนักอ่านอนุรักษ์นิยม แต่การเล่าเรื่องตลกร้ายจากการเดินทางด้วยท่วงทำนองสัตย์ซื่อจริงใจนี้ก็แทบไม่มีให้เห็นอยู่แล้วในหนังสือหมวดท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาความรื่นรมย์โดยทั่วไป ถือได้ว่าเป็นหนังสือท่องเที่ยวที่บุกเบิกการสำรวจตรวจสอบจิตวิญญาณภายในตนไปพร้อมกัน


๗. เดินสู่อิสรภาพ
ประมวล เพ็งจันทร์
สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, ๕๐๔ หน้า, ๓๐๐ บาท











เมื่ออาจารย์วัยกลางคนผู้หนึ่งลาออกจากมหาวิทยาลัยมาเดินเท้าไปเกาะสมุย ในลักษณาการที่ไม่พกทรัพย์สมบัติใด-ใดติดตัว มีเพียงเป้ใส่เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนหนึ่งชุด สมุดบันทึกหนึ่งเล่ม ปากกา และโปสการ์ดปึกหนึ่ง ตั้งจิตมั่นว่าจะไม่ขอทาน ไม่เดินไปหาคนรู้จัก ทิ้งภรรยาให้อยู่ที่บ้านเชียงใหม่ ใครก็คงคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว หรือไม่ก็มีปัญหากับภรรยา สำหรับเพื่อนที่ห่วงใยได้แต่ภาวนาให้เขารอดชีวิตปลอดภัย และหวังว่าการเดินทางของเขาจะเป็นเครื่องชี้วัดความกรุณาของสังคมไทย ๖๖ วัน ผ่านพ้นไป เขากลับบ้าน มีเรื่องเล่ามากมายจากรายทาง ที่สำคัญคือเรื่องเล่าของการนำพาชีวิตที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภายในผ่านอุปลักษณ์แห่งการเดิน ความสดและจริงแห่งเรื่องเล่านั้นอยู่ที่ผู้เล่าที่เป็นเจ้าของเรื่องเล่านั้นเอง เรื่องเล่าที่ไม่ได้มาจาการครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่บนหอคอยงาช้าง หากแต่กระโดดเข้าสู่การเดินทางด้วยตนเอง ยอดขายหนังสือเล่มหนานี้เป็นพยานอย่างดี ว่านี่ไม่ใช่การเดินทางท่องเที่ยวแบบดาด-ดาด


๘. เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา อัตชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ
พระประชา ปสนฺนธมฺโม / อรศรี งามวิทยาพงศ์
สำนักพิมพ์ มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๕๘๔ หน้า, ๕๕๐ บาท











ถือว่าเป็นหนังสืออัตชีวประวัติที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของเมืองไทย เป็นหนังสือในใจของใครต่อใครหลายคนทีเดียว มีขนาดใหญ่เกินพ็อกเก็ตบุ๊ก แต่ข้างในมีภาพประกอบสวยงาม การได้เห็นกุฏิไม้ธรรมดาในยุคแรกของสวนโมกข์ ที่ปราศจากตู้-ตั่ง-เตียง และเห็นสวนโมกข์ตั้งแต่แรกเริ่ม นั้นน่าอัศจรรย์มาก – ๒๔๗๕ ที่บางกอก เขากำลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แต่ท่านอาจารย์พุทธทาสกลับไปที่สวนโมกข์และเปลี่ยนแปลงการศึกษาทางจิตวิญญาณ - เราได้เห็นความเป็นพุทธทาสของท่านซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบุคคลรอบข้าง ตั้งแต่แม่ น้องชาย มาจนถึงญาติธรรมมากหน้าหลายตา คำสอนของท่านออกจะดุดัน หากเมื่อกล่าวถึงผู้คนกลับเต็มไปด้วยความเมตตา หนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นว่าท่านก็เป็นพระหนุ่มธรรมดาที่มีจิตใจแข็งแรง เข้มแข็งเด็ดขาดเสมอต้นเสมอปลาย มีจิตใจใฝ่รู้ที่เปิดกว้างความคิดความเชื่อต่างศาสนาต่างนิกาย และการตั้งคำถามที่ท้าทายยุคสมัยโดยไม่ก้าวร้าว


๙. ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน
มิเกล์ เด เซร์บันเตส ซาเบดฺร้า
แปลโดย สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ, ๖๐๐ หน้า, ปกแข็ง ๖๙๖ บาท, ปกอ่อน ๕๙๙ บาท









Don Quixote de la Mancha



หนังสือเล่มสวยที่สุดและประณีตบรรจงที่สุดในกระบวนการทำหนังสือแปลขณะนี้ ได้รับมาเป็นของขวัญทั้งเล่มปกแข็งและปกอ่อน สารภาพว่ายังอ่านไปได้เพียงหนึ่งในสามของเล่ม แต่เห็นว่าเป็นหนังสือที่จำต้องอ่าน และแนะนำให้อ่านให้ได้มากที่สุด เป็นความภาคภูมิใจของวงการหนังสือและเป็นอาหารชั้นเลิศของหนอนหนังสือชั้นดี เรื่องราวจากนิยายยุโรปยุคกลางอายุเก่าแก่ราวสี่ร้อยปีเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของชายแก่ผู้หลงไหลในวรรณกรรมอัศวินอย่างเรียกได้ว่าคลั่งไคล้ และวันหนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาสวมเสื้อเกราะ พกดาบ ขี่ม้า เดินทางไปกับคนรับใช้ ไปผจญภัยในโลกกว้าง มองโรงเตี๊ยมเป็นปราสาท เห็นสาวชาวนาเป็นหญิงสูงศักดิ์ สู้กับกังหันลมเพราะเห็นเป็นยักษ์ที่รังแกผู้คน การผจญภัยของเขาเป็นเหมือนความเพ้อฝันเกินจินตนาการ แต่เรื่องเล่าของเขากลับกลายเป็นตำนาน การดำดิ่งเข้าไปในธารอักษรนั้นเป็นประสบการณ์อารมณ์ส่วนตัวที่ไม่อาจจ้างวานให้ใครทำแทนให้ได้


๑๐. กามนิต
จอน์น อี โลกี แปลจากต้นฉบับภาษาเยอรมันของ คาร์ล อดอล์ฟ เจลเลอรูป
แปลเป็นไทยโดย เสฐียรโกเศศ – นาคะประทีป
สำนักพิมพ์ ส่องสยาม, ๔๗๙* หน้า, ๕๐๐ บาท









The Pilgrim Kamanita



ขณะดื่มด่ำกับภาษาประณีตงดงามดังการค่อยร้อยมุกมณีเข้าหากันในหนังสือเล่มนี้ จะมีใครรู้ตัวบ้างว่ากำลังอ่านวรรณกรรมแปล ด้วยฝีมือชั้นครูของสองเสาหลักแห่งวรรณกรรมไทย - เสฐียฐโกเศศและนาคะประทีบ – ทำให้งานแปลภาษาอังกฤษจากต้นฉบับเดิมภาษาเยอรมันเล่มนี้มีชีวิตเป็นอมตะอยู่ในวงวรรณกรรมไทยมากว่า ๗๘ ปี ในขณะที่ในต่างประเทศแทบไม่มีใครรู้จักต้นฉบับเดิมอายุ ๑๐๓ ปีของหนังสือเล่มนี้แล้ว อดอล์ฟ เจลเลอรูปนักเขียนรางวัลโนเบลชาวเดนมาร์กผู้นี้ เขียนถึงเรื่องรักของหนุ่มสาวโดยมีอินเดียเป็นฉากหลัง ความรักโรแมนติกจบด้วยโศกนาฏกรรมในภาคพื้นดิน ก่อนการเกิดและการพบกันใหม่อีกครั้งบนสรวงสวรรค์ ซึ่งเป็นการเดินทางร่วมกันทางจิตวิญญาณที่สูงกว่าไปสู่ภพภูมิแห่งความไม่เกิดไม่ตาย ตามคติความเชื่อทางพุทธศาสนา ภาษาในส่วนของภาคสวรรค์มีความวิจิตรงดงามมาก การอ่านหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดความปิติและถือเป็นเครื่องบูชาครูที่ดีที่สุด


๑๑. เกมลูกแก้ว
เฮอร์มานน์ เฮสเส
แปลโดย สดใส
สำนักพิมพ์ แพรว, ๗๒๗ หน้า, ๔๕๐ บาท









The Glass Bead Game



วรรณกรรมชิ้นสุดท้ายของแฮร์มันน เฮสเส ชิ้นนี้ เขียนในช่วงที่เยอรมันกำลังเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะฟื้นฟูจิตวิญญาณของผู้คนที่แตกสลายและทำลายไปจากผลของสงคราม เนื้อเรื่องว่าด้วยชีวประวัติของคเนคชท์ เด็กชายผู้มีความสามารถพิเศษด้านดนตรี และถูกคัดเลือกให้เข้าไปศึกษาในสถานศึกษาชั้นสูงในคาสตาเลีย มีโอกาสศึกษาเกมลูกแก้ว ซึ่งเป็นศาสตร์ชั้นสูงที่สามารถแสดงความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างศาสตร์สาขาต่างๆ เขาเลือกวิถีชีวิตนักบวช ก่อนจะละทิ้งหอคอยงาช้างนั้นออกมาสู่โลกภายนอก ด้วยการรับหน้าที่เป็นครูธรรมดาให้กับเด็กคนหนึ่ง เฮสเสชี้ให้เห็นว่านอกเหนือการเติบโตทางกายภาพแล้ว มนุษย์สามารถเติบโตในทางจิตวิญญาณไปด้วยพร้อมกัน หนังสือเล่มนี้มีความลึกซึ้งมาก สมกับเป็นวรรณกรรมที่เขียนโดยนักเขียนของโลกที่ผ่านความร้อนแรงแห่งวัยหนุ่ม ความสับสนแห่งวัยกลางคน และเข้าสู่ความเข้าใจโลกและชีวิตในบั้นปลาย ภาษาแปลมีความงดงามมาก นับได้ว่าเป็นงานแปลวรรณกรรมระดับคลาสสิกที่ยังไม่มีใครทาบได้


๑๒. โลกของโซฟี – เส้นทางจินตนาการสู่ประวัติศาสตร์ปรัชญา
โยสไตน์ กอร์เดอร์
แปลโดย สายพิณ ศุพุทธมงคล
สำนักพิมพ์คบไฟ, ๕๕๒ หน้า, ๓๐๐ บาท









Sophie’s World




ปรัชญาไม่ใช่ยาขมน่าเบื่อที่่พวกใส่แว่นชอบอ่านเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีกลวิธีการเล่าเรื่องและร้อยเรียงอย่างฉลาดแนบเนียน ดังที่โยสไตน์ กอร์เดอร์ นักเขียนชาวนอร์เวย์ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ทั้งในฐานะนิยายและประวัติศาตร์ปรัชญาเบื้องต้น เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวและบทสนทนาระหว่างโซฟี เด็กสาวอายุ ๑๔ ปี กับชายลึกลับที่ชื่อว่า อัลเบอร์โต คน็อกซ์ ที่นำพาผู้อ่านเข้าสู่โลกของปรัชญาตะวันตกผ่านคำถามต่างๆ เช่น “เธอคือใคร?” “โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร?” – คำถามที่นำไปสู่การสืบค้นตัวตนและความหมายแห่งการดำรงอยู่ของชีวิต ตอนจบของหนังสือเล่มนี้ตื่นเต้นน่าติดตาม และส่งต่อคำถามสุดท้ายให้กับการดำรงอยู่ของความจริง แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะดูเหมือนหนังสือสำหรับเด็ก แต่ความหนาขนาดห้าร้อยกว่าหน้า และความหนักแน่นของเนื้อหา หนังสือเด็กเล่มนี้ย่อมประมาทไม่ได้เลย